จะนะ เทพา เล-ฟ้า เดียวกัน

    uat-tier-4

    เผยแพร่ 08 มีนาคม 2567

    เครื่องแบบของนักแกะปูทุกคนคือถุงมือยางและผ้ากันเปื้อน แต่เราสังเกตเห็นว่าผ้ากันเปื้อนตัวเก่งของก๊ะรีมีข้อความที่ต่างจากเพื่อน

     

     

     

     

    “จะนะ เทพา เล-ฟ้า เดียวกัน” ก๊ะรีอ่านออกเสียงให้ฟังฉะฉาน “หมายถึงว่า ถ้าจะนะเดือดร้อน หรือเทพาเดือดร้อน เราก็จะเดือดร้อนถึงกันหมด เพราะเรามีแผ่นดินแผ่นน้ำที่ติดกัน”

     

     

     

     

    นอกจากจะเป็นแม่ครัวมือฉมังแล้ว ก๊ะรียังเป็นนักกิจกรรมตัวยงอีกด้วย – อันที่จริงคำว่า ‘ตัวยง’ ในบริบทนี้ฟังดูไม่ค่อยเข้าทีนัก เพราะฉันไม่คิดว่าวันดีคืนดีคนเราจะอยากลุกขึ้นมาเป็นนักกิจกรรมแน่ๆ หากไม่มีเรื่องจำเป็น

     

     

     

     

    “พี่เองมาต่อสู้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542-2543 ที่มีโครงการท่อส่งก๊าซ โรงแยกก๊าซเกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลสะกอม ตำบลตลิ่งชัน ตำบลนาทับ พี่น้องก็เห็นกันว่า ถ้ามันเกิดขึ้นมันจะมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่จะทำลายวิถี ทำลายทะเลของเราตามมา ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรของเรามันก็จะไม่ดี เราก็จะอยู่ลำบากขึ้น เราก็เลยรวมตัวกัน 8 หมู่บ้าน 3 ตำบล รวมตัวกันเข้ามาในกระบวนการนี้มาเรื่อยๆ จนได้รู้ ได้ศึกษาอะไรหลายๆ อย่างที่บางที่มันอยู่ใกล้ตัวเรา บางทีเราก็มองข้ามไป

     

     

     

     

    “พอเราก็ได้รู้อะไรที่เราไม่รู้หลายๆ อย่าง ก็รู้สึกว่าเราต้องปกป้องนะ อย่าให้ใครมาทำลาย เพราะมันจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหมดเลยทั้งระบบ อย่างตอนนี้ถ้ามีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้น มันก็จะเสียหาย รวนกันไปทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียว เหมือนที่บอกว่า มันไม่มีใครมากั้นฟ้ากันน้ำได้ ถ้าทะเลถูกทำลาย พวกเราที่ทำอาชีพประมงทั้งหมด เราอยู่ด้วยทะเล ทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวมาตลอดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ถ้าทะเลถูกทำลายก็เท่ากับว่าชีวิตเราถูกทำลาย

     

     

     

     

    “เกือบ 30 ปีที่ชาวบ้านร่วมกันต่อสู้ เรารู้สึกว่ามันเหนื่อย แต่ถามว่าเราจะหยุดไหม เราไม่หยุด จะถูกคดี ถูกปิดปากยังไง ก็ไม่มีใครหยุด เพราะว่าทุกคนคิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวเท่ากับที่เราจะไม่มีอะไรกินต่อไปในอนาคต มันคือชีวิตนะ ชีวิตของเรา ลูกได้เรียน ข้าวสารที่จะหุง เราได้จากทะเลหมด

     

     

     

     

    “เราก็ปรับปรุงวิธีการต่อสู้ของเราไปเรื่อยๆ จากการที่เราลงถนน เราก็มาใช้ข้อมูลสื่อสารให้คนข้างนอกเห็น ว่าทำไมเราถึงต้องปกป้อง ทำไมเราถึงยอมติดคุกติดตาราง เพราะเราอยากให้คนรับรู้ว่าทำไมเราถึงไม่หยุด ถ้าเราหยุด ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ทะเล ผืนดิน จะเป็นยังไง แล้วเราจะอยู่แบบนี้ได้ยังไง”

    ถ้อยคำของก๊ะรีหนักแน่นและเป็นธรรมดาเหมือนกับว่าก๊ะรีกำลังพูดถึงเรื่องลมฟ้าอากาศหรือฝนตกรถติดอะไรทำนองนั้น แม้มันจะเจือไปด้วยเสียงสั่นเครือก็ตามที

     

     

     

     

    “เราคิดว่าเราอยู่อย่างนี้เราก็พอแล้วนะ เราไม่ได้บอกว่าเราไม่ต้องการพัฒนา แต่เราอยากให้พัฒนาแล้วควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของเราด้วย เราก็เลยต้องทำอะไรก็ได้ให้ถึงที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าลูกหลานของเราจะมาต่อว่าเราทีหลัง พอพูดเรื่องนี้แล้วมันจะร้องไห้ทุกที”

     

     

     

     

    ก๊ะรีพูดจบก็ปาดน้ำตาแล้วหันมายิ้มแฉ่งให้ฉันเสียอย่างนั้น

     

     

     

     

    บทสนทนาในเรื่องหนักๆ เมื่อครู่ฟังดูเหมือนเป็นคำปราศรัยจากม็อบไหนสักม็อบหนึ่ง แต่เมื่อฉันอยู่ใกล้ก๊ะรีเพียงไม่ถึงวา เราได้คุยกันและได้ยินเสียงของกันและกันโดยไม่ต้องผ่านโทรโข่งหรือลำโพงใดๆ มันจึงเป็นบทสนทนาระหว่างคนกับคนด้วยกัน ไม่ใช่การตะเบ็งเสียงพูดกับยักษ์ตนไหนทั้งนั้น

     

     

     

     

    ฉันมองเห็นคนจะนะได้ชัดเจนกว่าทุกม็อบที่เคยได้สัมผัสมา

     

    เครดิต https://krua.co/food_story/khao-dok-rai-chana-journey#google_vignette

    ความคิดเห็น