ชวนปลูกเคล คะน้าใบหยิก ปลูกเองได้ไม่ยาก

    tleaha megazy

    เผยแพร่ 13 กันยายน 2566

    "เคล" ราชินีผักใบเขียว (The queen of green) ที่ถูกยกให้เป็น Superfood ต่างชาตินิยมเป็นอย่างมาก และตอนนี้ในประเทศเราก็กำลังนิยมทั้งปลูกทั้งกิน เพราะผักใบเล็ก ๆ หยิก ๆ นี้ เป็นแหล่งรวมวิตามินที่สำคัญมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอีกด้วย

    ผักเคล (Kale) หรือ ผักคะน้าใบหยิก เป็นพืชตระกูลเดียวกับผักจำพวก บร็อกโคลี่ คะน้า และดอกกะหล่ำ รวมๆ กัน ต้นและใบมีสีเขียวเข้ม ใบหยิก อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ โอเมก้า 3 แมกนีเซียม เหล็ก โซเดียม โพแทสเซียม วิตามินเอ เป็นต้น ซึ่งคะน้าโดยทั่วไปมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีสูงกว่าผักใบอื่นๆ ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคกระดูกบาง

    ผักเคล เป็นพืชที่พบเห็นได้ทั่วไปในทวีปยุโรป และได้ถูกใช้เป็นอาหารและยาในลักษณะของอาหารเพื่อใช้รักษาโรคลำไส้ ต่อมาผักเคลได้แพร่หลายเข้าไปในทวีปอเมริกาเหนือ รัสเซีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนรักสุขภาพมาก ส่วนใหญ่จะนำมาปั่นเป็นน้ำผักสมูสตี้ ดื่มกันโดยทั่วไป

    มาปลูก "เคล" กินเองง่าย ๆ สไตล์คนเมืองกัน

    เตรียมอุปกรณ์ตามนี้เลย

    - พีทมอส พีทมอสที่เราจะใช้ในการเพาะเมล็ดจะต้องเป็นพีทมอทที่ฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตโอกาสที่ต้นจะติดโรคจะน้อยกว่าและมีความชื้นอยู่ที่1-2% เท่านั้นเพราะถ้ามีความชื้นสูงอาจทำให้เชื้อราได้
    - ถาดเพาะเมล็ดเจาะรูด้านล่างโดยใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะรูประมาณสี่รู
    - ฟางแห้งไม่ชื้น
    - เครื่องวัดค่า ph ใช้วัดความเป็นกรดซึ่งดินที่เราจะใช้ต้องอยู่ในช่วง2-3
    - ดินหมักใบไม้แห้ง

    วิธีปลูก

    ***ก่อนปลูกให้นำเมล็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้ก่อนประมาณ 2 วัน จนมีรากงอกออกมาเล็กน้อย

    1. นำดินหมักใบไม้แห้งใส่ไปก่อนให้ทั่วทุกหลุม หลุมละครึ่งหลุม
    2. นำพีทมอสเทให้เต็มถาดแล้วปาดดินให้เสมอปากหลุมถาด
    3. นำเมล็ดที่แช่น้ำไว้แล้ว 2 วัน เอามาลงปลูกได้เลย
    4.ใช้เข็มมาเขี่ยให้เป็นรูเล็ก ๆ และหยอดเมล็ดลงไปและเอาพีทมอสมาโรยกลบทับอีกครั้ง
    5. รดน้ำและนำไปไว้ในที่ร่มจนกว่าใบจะเริ่มออก
    6. พอใบเริ่มออกและต้นมีอายุได้ 15 วัน เอาไปวางตากแดดในช่วงเช้าเพื่อสังเคราะห์แสง
    7. ช่วงบ่ายเราก็เก็บมาไว้ในที่ร่มและรดน้ำให้ชุ่มชื้นทำแบบนี้ไปจนต้นอายุได้30วันเราก็สามารถให้ต้นรับแดดในช่วงบ่ายได้เลย
    8. พอต้นอายุได้35วันเราก็เปลี่ยนไปใส่กระถางขนาด 5-12 นิ้วเพื่อให้รากเดินได้มากขึ้นการย้ายควรย้ายดี ๆ อย่าให้รากหลุดเด็ดขาด เพราะต้นอาจจะตายได้เลย
    9. พอเราย้ายมาใส่กระถางแล้วประมาณ10วันให้หลังเราจะใส่มูลวัวและปุ่ยมูลไส้เดือนเพื่อเร่งใบ หรือสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลพืชแบบอินทรีย์ในช่วงนี้ได้เลย
    10. พอใบเจริญเติบโตได้ที่ใบจะหยิกมาก โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน

    ถ้าจะปลูกให้ดี ให้ได้คุณภาพต้องทำยังไง

    อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส การปลูกในสภาพอากาศหนาวเย็นหรือมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส จะทำให้การเจริญเติบโตช้า ลำต้นและใบอวบใหญ่กว่าปกติ ข้อถี่ การปลูกในสภาพอากาศร้อนสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส คุณภาพผลผลิตต่ำ เป็นผักที่มีเยื่อใยสูง เหนียว ในการปลูกจำเป็นต้องให้น้ำมากกว่าปกติ สำหรับพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 300-800 เมตร…

    สามารถปลูกได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ส่วนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ขึ้นไป สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี สำหรับดินปลูกควรเป็นดินที่ร่วนซุย หรือดินร่วนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์สูง ก่อนปลูกแปลงปลูกควรใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก โดยคลุกเคล้าให้เข้ากับดินก่อน และแปลงต้องมีการระบายน้ำดี ค่าความเป็นกรดและด่างของดินควรอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

    ความคิดเห็น